ช่วงที่ราคาน้ำมันกำลังปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้ ค่ายรถหลายๆค่ายออกมาผลิตรถที่ประหยัดน้ำมันในการใช้งานมากขึ้น แต่หากไม่รู้วิธีการขับรถอย่างถูกต้องก็ถือเป็นการไม่ใช้เชื้อเพลิงให้คุ้มค่าที่สุด การขับขี่ที่ดีนั้นนอกจากจะต้องขับรถด้วยความไม่ประมาท เคารพกฎจราจรแล้ว ยังต้องขับให้ประหยัดเชื้อเพลิงด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการเซฟค่าใช้จ่ายที่จะหมดไปกับค่าเชื้อเพลิงแล้ว ยังเป็นการช่วยรถการใช้พลังงานของโลกใบนี้ และลดการปล่อยมูลภาวะจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงด้วย
1. การสตาร์ทเครื่องยนต์
เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกในรอบวันหลังจากดับเครื่องมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอุ่นเครื่องยนต์ในขณะที่รถจอดอยู่กับที่ เพราะเพียงแค่เคลื่อนรถอย่างช้าๆ 1-2 กิโลเมตร ก็ถือเป็นการอุ่นเครื่องไปแล้วในตัว โดยการติดเครื่องอยู่กับที่ 2 นาทีนั้น ก็สิ้นเปลืองน้ำมันไปประมาณ 40 มิลลิลิตร และหลังจากไฟเตือนต่างๆบนหน้าปัดดับลงแล้ว ก็สามารถที่จะเคลื่อนรถออกได้เลยอย่างช้าๆ ค่อยๆเร่งเครื่องยนต์ทีละน้อย ไม่ต้องเร่งเครื่องยนต์ให้รอบสูงเพื่อจะให้เครื่องยนต์ร้อนเร็วขึ้น
2. การใช้งานเบรกมีผลต่อการกินน้ำมัน
ทุกๆครั้งที่เหยียบเบรก จะทำให้ความเร็วของรถลดลงไป และการแตะคันเร่งเพื่อจะเร่งเครื่องยนต์ต่อนั้น ก็จำเป็นต้องมองไปข้างหน้าด้วย การปล่อยคันเร่งให้เร็วขึ้นเพื่อปล่อยให้รถไหล จะประหยัดน้ำมันได้มากกว่าการขับขี่ในลักษณะที่เหยียบเบรกเมื่อกระชั้นชิดแล้ว และเติมขึ้นเร่งเพื่อเร่งเครื่องไปต่อ
3. หลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องแบบกะทันหันบ่อยๆ
การเร่งเครื่องยนต์ขณะเกียร์ว่าง 10 ครั้ง จะเปลืองน้ำมันไปราว 15 มิลลิลิตร สำหรับรถจักรยานยนต์, รถกระบะ รถตู้ รถแวน จะสิ้นเปลืองราว 100 มิลลิลิตร, รถบรรทุกจะสิ้นเปลืองราว 300 มิลลิลิตร ซึ่งลักษณะนี้คล้ายๆกับการย้ำคันเร่ง ซึ่งลักษณะการขับขี่ของบางคนชอบเร่งแล้วปล่อยคันเร่ง ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
4. ขับขี่ด้วยความเร็วคงที่
การขับขี่ที่เหมาะสม ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันมากที่สุด จะอยู่ที่ 60-80 กม/ชม
ความเร็ว 95 กม/ชม จะเปลืองน้ำมันมากกว่า 80 กม/ชม ราว 15%
ความเร็ว 110 กม/ชม จะเปลืองน้ำมันมากกว่า 80 กม/ชม ราว 29%
ความเร็ว 100 กม/ชม จะเปลืองน้ำมันมากกว่า 90 กม/ชม ราว 15%
ความเร็ว 110 กม/ชม จะเปลืองน้ำมันมากกว่า 90 กม/ชม ราว 25%
5. ลดการใช้ระบบปรับอากาศในช่วงเช้า
ในยามเช้าๆหรือช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ได้เปิดระบบปรับอากาศเป็นเวลา 30 นาที ก็สามารถที่จะประหยัดน้ำมันได้มากถึง 10-15%
6. วางแผนในการเดินทาง
ควรวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรติดขัด เพื่อไม่ให้ขับรถอ้อมจนเกินไป เพื่อไม่ให้หลงทาง และเพื่อไม่ให้ขับรถเลยจากจุดหมายปลายทาง ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ลดการใช้น้ำมันที่เสียไปโดยไม่จำเป็นออกไปได้เยอะ
7. ตรวจเช็คแรงดันลมยาง
ยางที่มีลมอ่อนเกินไปจะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น และอายุการใช้งานของยางก็จะสั้น แต่ขณะเดียวกันนั้นยางที่ลมแข็งเกินไป ก็ทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง และอายุการใช้งานก็สั้นลงเช่นกัน ดังนั้นควรเช็คระดับแรงดันลมยางให้เหมาะสมสำหรับรถแต่ละรุ่น เพื่อให้ใช้รถได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด และประหยัดน้ำมันอีกด้วย
8. ตรวจเช็คเครื่องปรับอากาศ
ปริมาณน้ำยาทำความเย็น ความสกปรกของคอยล์ร้อนและคอยล์เย็น ไส้กรองอากาศ และอื่นๆ ให้ระบบการทำงานนั้นทำงานเต็มประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมในการใช้งาน เพราะถ้าปรับอุณหภูมิต่ำเกินไป คอมเพรสเซอร์แอร์ก็จะทำงานหนักขึ้น เป็นภาระของเครื่องยนต์มากขึ้น ส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นเช่นกัน
9. ดูแลเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ
คอยตรวจเช็คและเปลี่ยนอะไหล่ต่างๆตามที่ผู้ผลิตกำหนด คอยตรวจเช็คอาการผิดปกติต่างๆของเครื่องยนต์ ที่อาจจะส่งผลให้การใช้งานของเครื่องยนต์มีอายุการใช้งานสั้นลงแล้ว ก็ยังส่งผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันด้วยเช่นกัน เช่น น้ำมันเครื่องหมดสภาพ ขาดคุณสมบัติการหล่อลื่น, หัวเทียนเสื่อมสภาพ ทำให้เชื้อเพลิงเผาไหม้ไม่สมบูรณ์, ปรับตั้งการจุดระเบิดไม่ถูกต้อง ซึ่งทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงนั้นไม่เต็มประสิทธิภาพ เป็นต้น
10. บรรทุกสัมภาระเท่าที่จำเป็น
น้ำหนักในการบรรทุกนั้นมีผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยเช่นกัน ถ้ายิ่งบรรทุกหนักมากก็จะทำให้เปลืองน้ำมันมากขึ้นด้วยเช่นกัน
11. ควรดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถคอย
การติดเครื่องยนต์ขณะจอดรถเป็นเวลา 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมันราว 100 มิลลิลิตร และถ้าติดเครื่องไว้นานกว่านั้นก็ยิ่งสินเปลืองน้ำมันไปกว่านั้นอีก
12. ปัจจัยอื่นๆ
การสิ้นเปลืองน้ำมันของรถยนต์บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยเช่นกัน เช่น การเดินทางที่ต้องขับรถในภูมิประเทศที่ต้องขึ้นเขาตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามจากวิธีต่างๆ ที่ได้แนะนำไปแล้วนั้นในการประหยัดน้ำมัน ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายส่วนของการใช้น้ำมันออกไปได้บ้างในชีวิตประจำวัน
ข้อมูล: https://www.thairentecocar.com/