มีรถใช่ไหม? งั้นก็มี 10 ข้อที่ต้องรู้!!

มีรถใช่ไหม? งั้นก็มี 10 ข้อที่ต้องรู้!!

       

            ปัจจุบันการซื้อรถยนต์มีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีผู้ใช้แค่บางกลุ่มเท่านั้นที่จะคำนึงถึงการบำรุงรักษารถยนต์อย่างถูกต้อง ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆนั้นมีชิ้นส่วนประกอบต่างๆกว่า 75,000 ชิ้น และความผิดปกติของชิ้นส่วนเพียงชิ้นเดียวก็อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้ การบำรุงรักษารถของคุณด้วยวิธีที่เหมาะสมสามารถที่จะยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยในขณะขับขี่ ยืดอายุการใช้งานของรถ และยังจะช่วยให้ได้ราคาขายต่อสูงหากต้องการขายต่อในอนาคต

1. วางแผนในการซ่อมบำรุง

       แรกเริ่มที่สุดคือการวางแผนในการซ่อมบำรุงพวกระบบยางรถยนต์, น้ำมันเครื่อง, ระบบเบรค, ห้องโดยสารและวัสดุภายใน ของเหลวต่างๆ วางแผนของคุณซะสำหรับการตรวจเช็คและซ่อมบำรุงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆของรถคุณ

2. ยาง

      ตรวจเช็คให้มั่นใจว่ายางรถยนต์ของคุณมีขนาดที่เหมาะสมและมีแรงดันลมยางที่เหมาะสมตามมาตรฐานจากโรงงานผลิต ควรจะเปลี่ยนยางเมื่อยางสึกหรอถึงจนตำแหน่งที่มีสัญลักษณ์แสดงการสึกหรอ เพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้นอาจถามผู้ให้บริการเรื่องยางถึงความสึกหรอของยาง อุปกรณ์วัดแรงดันลมยางเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ราคาไม่แพงและใช้งานได้ง่าย หมั่นตรวจเช็คลมยางของรถและตรวจดูรอยตำหนิหรือรอยชำรุดต่างๆของยางที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะขับขี่ได้ และให้เปลี่ยนทันทีที่ยางเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติขึ้นเกินข้อจำกัดที่จะรับได้

3. น้ำมันเครื่อง

      น้ำมันเครื่องเปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงสำหรับรถยนต์ ถ้าไม่มีน้ำมันเครื่องรถยนต์ก็ไม่สามารถใช้งานในส่วนอื่นๆได้อีก หากไม่มีความรู้เรื่องนี้ควรเรียนรู้วิธีการตรวจสอบน้ำมันเครื่องอย่างถูกวิธีจากช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ และควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างน้อยทุก 5,000 กิโลเมตร แม้ว่าทางผู้ผลิตน้ำมันเครื่องจะอ้างว่าน้ำมันเครื่องนั้นสามารถใช้ได้มากกว่า 10,000 กิโลเมตร แต่โดยทั่วไปแล้วน้ำมันเครื่องจะใช้ได้และเต็มประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเครื่องยนต์ที่ 8,000 กิโลเมตร ควรตรวจสอบน้ำมันเครื่องเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่เมื่อครบกำหนด

4. กระจก

      กระจกข้าง กระจกมองหลัง หรือโคมไฟของรถต้องสะอาดและไม่แตกหัก ถ้าหากมีการแตกหักหรือชำรุดให้รีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ให้เร็วที่สุด อาจนำรถเข้าไปซ่อมแซมได้ตามศูนย์ซ่อมต่างๆ หรือต้องรีบเปลี่ยนทันทีหากจำเป็น เพราะฉะนั้นให้หมั่นตรวจเช็คกระจกรถของคุณเสมอ

สำหรับการขับรถควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าไม่ให้ใกล้เกินไป เพราะอาจมีเศษวัสดุจากการบรรทุกกระเด็นหรือเศษวัตถุต่างๆที่หลวมแล้วกระเด็นออกมา แม้จะเป็นเศษหินที่มีขนาดเล็กแต่ก็สามารถที่จะทำให้กระจกรถของคุณเสียหายหนักได้

5. ระบบเบรค, สายพาน และแบตเตอรี่

      ระบบเบรคของรถยนต์รุ่นใหม่ๆนั้นได้รับการออกแบบให้ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ เพื่อให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา ถ้าหากเกิดปัญหาหรือความผิดปกติใดขึ้นกับเบรคให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็คทันที ซึ่งถ้าหากระบบทำงานผิดพลาด หมายความว่าคุณกำลังตกอยู่ในความอันตรายอย่างยิ่งในขณะใช้รถ

ตรวจเช็คสายพานอย่างสม่ำเสมอถึงความสึกหรอหรือความหย่อนยานของสายพาน สายพานเมื่อยานเกินไปมักจะมีเสียงดัง ควรนำรถเข้าตรวจเช็คทันที่เมื่อได้ยินเสียงดังกลาว

ตรวจเช็คแบตเตอรี่อย่างน้อยเดือนละครั้งสำหรับการกัดกร่อนที่ขั้วของแบตเตอรี่ ปริมาณน้ำกลั่นในแบตให้มีปริมาณน้ำกลั่นไม่ต่ำกว่าแถบแสดงระดับต่ำ(สำหรับรุ่นที่ต้องเติมน้ำกลั่น) พร้อมทั้งทำความสะอาดด้วยตามความจำเป็น พยายามอย่าใช้ไฟในแบตเตอรี่จนหมด แม้ว่าจะสามารถประจุไฟใหม่ได้ด้วยการพ่วงแบตเตอรี่แต่ก็ไม่แนะนำ และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ให้ระวังที่การใส่สายไฟที่ขั้วของแบตเตอรี่ ต้องใส่ให้ถูกขั้วทุกครั้ง

6. ห้องโดยสารและวัสดุภายใน

      ทำความสะอาดและดูดฝุ่นตามห้องโดยสารภายในให้สะอาด สภาพโดยรวมของวัสดุและห้องโดยสารภายในเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากในการประเมินราคาสำหรับขายรถต่อ เพราะคนส่วนมากไม่ได้สนใจมากเกี่ยวกับสิ่งอื่นที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ยางหรือเครื่องยนต์ แต่ถ้าหากว่าเครื่องเสียงใช้งานไม่ได้หรือว่าสภาพห้องโดยสารภายในนั้นสกปรก การประเมินราคาตกลงอย่างมาก หรือจะบอกอีกทางก็คือการพิจารณามูลค่าในการขายรถยนต์ จะพิจารณาจากลักษณะภายในห้องโดยสารเป็นหลัก ถ้าหากคุณต้องการจะขายรถต่อในราคาที่ไม่ตกมากนั้น การใช้เงินสำหรับค่าล้างรถ ดูดฝุ่น และเคลือบหรือขัดเงาตามวัสดุต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเมื่อจะนำรถไปประเมินราคาขายต่อ

7. ของเหลวต่างๆ

      นอกจากน้ำมันเครื่องที่เปรียบเสมือนเลือดสำหรับหล่อเลี้ยงรถยนต์แล้ว ของเหลวต่างๆที่ใช้อยู่ภายในรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน น้ำยาหล่อเย็น, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเฟืองท้าย, น้ำมันเบรก หรือของเหลวอื่นๆ ควรจะได้รับการตรวจเช็คให้อยู่เหนือกว่าระดับต่ำสุดอย่างน้อยๆสัปดาห์ละครั้ง และเปลี่ยนถ่ายเมื่อครบกำหนด สำหรับวิธีในการตรวจเช็คอาจเรียนรู้ได้จากช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ

8. ระบบไฟ

      คุณควรตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่างของรถคุณโดยใช้สถานที่ที่คุณสามารถจอดรถและเห็นเงาสะท้อนของรถคุณได้อย่างชัดเจน หรือหาผู้ช่วยสักคนเพื่อเดินรอบรถของคุณขณะที่คุณทำการทดสอบเปิดการทำงานของระบบไฟส่องสว่าง ไฟท้าย ไฟถอยหลัง และไฟเลี้ยวของรถคุณ

ระบบไฟส่องสว่างควรจะโฟกัสไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ทิศทางของลำแสงที่ออกจากโคมไฟหน้าจะต้องพุ่งไปด้านหน้าและเป็นมุมที่โฟกัสตกลงบนพื้นถนน จะต้องไม่พุ่งขึ้นฟ้าหรือแค่พุ่งเข้าตรงกลาง ซึ่งคุณสามารถที่จะสังเกตทิศทางลำแสงของรถคุณได้จากการขับรถในตอนกลางคืน ซึ่งหากทิศทางของลำแสงนั้นพุ่งสูงเกินไปก็อาจจะไปแยงตาของผู้ที่ขับขี่สวนมาทำให้เกิดอันตรายได้ หรือถ้าหากทิศทางลำแสงนั้นต่ำเกินไป ก็จะเป็นการจำกัดระยะมองเห็นในการขับขี่ของคุณ ทำให้การทัศนวิสัยในการใช้รถตอนกลางคืนเป็นไปได้อย่างยากลำบากและอันตราย

9. ที่ปัดน้ำฝน

      ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนด้วยตัวเอง เพียงแค่ปีละครั้งก่อนฤดูฝน หรือจะเปลี่ยนชุดประกอบทั้งหมดของที่ปัดน้ำฝนก็ได้ถ้าหากจำเป็น และหากคุณขับรถบ่อยในสถานที่ที่มีสภาพเปียกชื้น คุณอาจต้องใช้น้ำยาสำหรับรักษากระจกเพิ่มเติมเพื่อถนอมสภาพของกระจกหน้ารถของคุณ

10. ระบบควบคุมการปล่อยไอเสีย

      ขึ้นกับมาตรฐานการปล่อยไอเสียของแต่ละประเทศ บางประเทศอาจมีการตรวจการปล่อยไอเสียเป็นระยะๆด้วย โดยผู้เชียวชาญจะต้องทำการวินิจฉัยเซ็นเซอร์ออกซิเจนและวาล์ว EGR สำหรับคำนวณการปล่อยไอเสีย ซึ่งทั้งเซ็นเซอร์และวาล์ว EGR เป็นส่วนที่หากทำงานผิดปกติแล้วจะมีผลต่อการปล่อยไอเสีย

ข้อมูล: https://www.wikihow.com/

 22380
ผู้เข้าชม

gps

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์