ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ระดมพล หามาตรการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ ชี้ภาครัฐควรหาแนวทางสนับสนุนส่งเสริม หวั่นธุรกิจไปไม่รอด เผยอาจมีแรงงานโลจิสติกส์ถูกเลิกจ้างกว่า 3 แสนราย ผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้ได้ส่งผลกระทบต่อคู่ค้าสำคัญของไทยทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งติดลบมากที่สุดในรอบ 30 ปี ทั้งนี้ได้ส่งผลกระทบถึงการส่งออกของไทยที่ติดลบอย่างหนัก รวมทั้งเกิดปัญหาว่างงานครั้งใหญ่ โดยคาดการณ์ว่าอาจจะมีแรงงานโลจิสติกส์-ขนส่งว่างงานกว่า 300,000 คน จากแรงงานทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสายงานโลจิสติกส์ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการคมนาคมขนส่งทางบกวุฒิสภา และสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย ได้ร่วมกันจัดเสวนาผลกระทบทางเลือก...ทางรอดของผู้ประกอบการขนส่ง-โลจิสติกส์ ภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจถดถอย โดยมีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมการเสวนา
"ธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่ตกสำรวจจากรัฐบาล เพราะมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่ภาคการผลิต การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยธุรกิจโลจิสติกส์กลับยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ซึ่งแรงงานด้านโลจิสติกส์ในปัจจุบันมีถึงประมาณ 3 ล้านคน จากวิกฤติเศรษฐกิจขณะนี้ตกต่ำมากกว่าที่คาดไว้ ปัจจัยเสี่ยงที่เห็นชัดเจนคือภาคการส่งออก-นำเข้าที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบคือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการส่งออก-นำเข้าที่หดตัวลง ที่เป็นห่วงว่าหากธุรกิจไม่สามารถอยู่รอดได้ จะส่งผลให้แรงงานด้านโลจิสติกส์อาจได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้าง ที่นับว่าน่าเป็นห่วง ดังนั้นรัฐบาลควรมีมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ เพื่อช่วยประคองธุรกิจให้สามารถอยู่รอดได้"
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าว "การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่ตรงจุดนัก เนื่องจากมาตรการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือแรงงานที่ตกงานแล้ว ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เห็นว่ารัฐบาลควรหาทางไม่ให้แรงงานถูกปลดออกจากงานจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและยั่งยืนกว่า" ดร.ธนิต กล่าวย้ำ " ขณะนี้ปริมาณการส่งออกลดลงอย่างมาก ตลาดเป็นของผู้ซื้อบริการ วันนี้ธุรกิจโลจิสติกส์ส่วนใหญ่ขาดทุน ดังนั้นทุกคนต้องพยายามประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ ต้องพยายามให้ขาดทุนน้อยที่สุด ทุกบริษัทต้องพยายามหายุทธวิธีให้รักษาฐานลูกค้าให้ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ต้องยอมรับว่าอาจต้องมีบางบริษัทที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งผู้ที่สามารถอยู่รอดได้ในสภาวการณ์เช่นนี้คือผู้ที่แข็งแรงที่สุด แต่หากเหตุการณ์ยังไม่ดีขึ้นเชื่อว่าต้องมีอีกหลายบริษัทที่ล้มหายตายจากไปอย่างแน่นอน" คุณสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย และในฐานะนายกสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ กล่าว จากการเสวนาระดมความคิดเห็นผู้ประกอบการโลจิสติกส์ได้ข้อสรุปร่วมกันที่จะเสนอ 6 แนวทาง เพื่อให้ภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ที่ได้รับผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจ ได้แก่
ให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในวงเงิน
20,000 ล้านบาท
ขอให้ออกมาตรการลดค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระเอกชน เช่น ลดค่าภาระ
ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ค่าธรรม ค่าล่วงเวลา เป็นต้น
ขอให้ลดค่าเช่าสถานประกอบการในพื้นที่ปลอดอากรของท่า
อากาศยานสุวรรณภูมิ
ปรับลดค่าสัมปทานสถานีขนส่งสินค้าไอซีดีลาดกระบัง
เสนอให้ภาครัฐมีมาตรการให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ย
ต่ำ ให้ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ และให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณช่วย
เหลือผู้ตกงานจากภาคขนส่ง-โลจิสติกส์
ที่มา : http://www.logisticsdigest.com/index.php?option="com_content&task=view&id=2675&Itemid=73