เปิดวิธีทำใบขับขี่แบบละเอียดยิบ จองออนไลน์ก็ได้

เปิดวิธีทำใบขับขี่แบบละเอียดยิบ จองออนไลน์ก็ได้

 

ใบขับขี่ หรือ "ใบอนุญาตขับขี่" คือ ใบอนุญาตเพื่อยืนยันว่า บุคคลเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการขับขี่ และได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถตามกฎหมายประเภทต่างๆ อาทิ ใบอนุญาตขับขี่ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถรับจ้าง เป็นต้น

ทำความรู้จักใบขับขี่ และประโยชน์ของใบขับขี่

ใบขับขี่ หรือ "ใบอนุญาตขับขี่" คือ ใบอนุญาตเพื่อยืนยันว่า บุคคลเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการขับขี่ และได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถตามกฎหมายประเภทต่างๆ อาทิ ใบอนุญาตขับขี่ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถรับจ้าง เป็นต้น

ตาม พ.ร.บ.การจราจร ของประเทศไทย ผู้ขับขี่ที่สามารถทำใบอนุญาตขับขี่ได้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี (หรือ 15 ปีสำหรับรถจักรยานยนต์) ดังนั้น ผู้ที่มีบุตรหลานกำลังโตอยู่ในช่วงวัยรุ่น และเริ่มขอยืมรถยนต์ออกไปขับเอง ไม่ว่าจะออกไปทำธุระส่วนตัว ไปโรงเรียน หรือไปปาร์ตี้ การตัดสินให้ลูกที่อยู่ในวัยรุ่นเอารถไปขับเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองควรพิจารณา แม้ว่ารถของคุณจะมีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่ดีที่สุดคุ้มครองอยู่ก็ตาม

ใบขับขี่ มีประโยชน์อย่างไร?

นอกจากเป็นหลักฐานที่ยืนยันและแสดงว่า เจ้าของใบอนุญาตเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการขับขี่รถประเภทที่กำหนดในใบอนุญาตได้จริง แล้วนั้น ใบขับขี่ยังมีประโยชน์อื่นๆ ด้วยดังนี้

1. ช่วยให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายจากประกันภัยรถยนต์ต่างๆ ที่ได้ทำเอาไว้ หากไม่มีใบขับขี่ ก็อาจทำให้บริษัทประกันใช้เป็นข้ออ้างเพื่อการยกเว้นความรับผิดชอบได้ หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าเสียหายให้โดยอ้างว่าผู้เสียหายไม่มีใบอนุญาตขับขี่
2. ช่วยให้ได้รับพิจารณาเข้าทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องการความสามารถในการขับขี่ ก็ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นประโยชน์ทางอ้อม

วิธีการทำใบขับขี่

คุณต้องสมัครอบรม สอบข้อเขียน ปฏิบัติ วัดสภาพร่างกายก่อน ถึงจะได้ใบขับขี่มา โดยมีขั้นตอนตามนี้เลย

1. จองคิวอบรม     

หมดยุคตื่นแต่เช้า (มืด) ไปต่อแถวยาวๆ กับการจองคิวเพื่อสอบใบขับขี่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เพราะเกินโควต้าของแต่ละวัน เพราะเดี๋ยวนี้คุณสามารถจองคิวอบรมออนไลน์ผ่าน DLT: ระบบจองคิวทำใบขับขี่ออนไลน์ เพื่อทำการนัดคิวอบรมได้เลย

โดยคุณต้องอบรมทั้งหมด 5 ชั่วโมง เกี่ยวกับกฎจราจร ขั้นตอนระบบการจองคิวมีดังต่อไปนี้

1.1 เข้าไปที่เว็บไซต์ http://ebooking.dlt.go.th/ebooking/

จองคิวทำใบขับขี่กับ e-booking  


1.2 ไปที่เมนูกรอกประวัติ พิมพ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก กรอกประวัติให้ครบถ้วนและจองที่นั่งฝึกอมรม

กรอกประวัติ พิมพ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก


1.3 หลังจากลงทะเบียนกรอกข้อมูลครบเรียบร้อย จะมีการแสดงข้อมูลการจองที่นั่งอบรม

ตารางการแสดงข้อมูลการจองที่นั่งอบรม 


1.4 เลือกประเภทใบอนุญาต/ หลักสูตร/ จังหวัด/ สำนักกรมการขนส่งจังหวัด รวมทั้งเลือกวัน เดือน และปีที่ต้องการจองคิว หากว่างจะแสดงเป็นหมายเลขห้องอบรม และจำนวนที่นั่งว่าง

แบบฟอร์มเลือกข้อมูลการจองคิวและห้องอบรม 


1.5 เมื่อกรอกข้อมูลครบทั้งหมดแล้ว ระบบจะแสดงข้อความยืนยันการจอง ระบุหมายเลข Ticket ID และรายละเอียดสถานที่อบรม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

รายละเอียดสถานที่อบรม 


1.6 การเข้าใช้งานทุกครั้งต้องกรอกข้อมูลใน DLT e-booking ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชนและรหัสผ่าน ควร SAVE ข้อมูลหน้ายืนยันการจองนี้ แล้วสั่งพิมพ์เป็นหลักฐานในการยืนยันการจองคิวขอใบอนุญาตขับขี่

หลักฐานในการยืนยันการจองคิวขอใบอนุญาตขับขี่ 


1.7 หากต้องการยกเลิกการจองที่นั่ง สามารถกลับมายังหน้าแรกเพื่อเข้าไปทำรายการได้

ยกเลิกการจองที่นั่ง

ทั้งนี้ ในวันสอบใบขับขี่จริง ให้แต่งกายสุภาพ งดใส่เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ เมื่อถึงวันจองคิวจะต้องไปก่อนเวลานัด 30 นาที มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์และต้องทำการจองใหม่

2. เตรียมยื่นเอกสาร ที่กรมขนส่ง

2.1 บัตรประชาชนฉบับจริง พร้อมสำเนาหนึ่งชุด
2.2 ใบรับรองแพทย์ อายุไม่เกินหนึ่งเดือน (เฉพาะผู้ขอรับใบขับขี่ใหม่ ใบขับขี่ส่วนบุคคลชั่วคราวขาดเกิน 1 ปี และ 3 ปี รวมทั้งใบขับขี่ส่วนบุคคลขาดเกิน 3 ปี) สามารถขอได้จากโรงพยาบาล หรือคลินิกการแพทย์
2.3 ใบขับขี่ใบเดิม (ถ้ามี)
2.4 ใบรับรองการอบรม (สำหรับผู้เข้าอบรมนอกกรมขนส่งฯ) โดยคุณสามารถจองคิวอบรมได้ด้วยตัวเองที่กรมขนส่งทางบก และโทรศัพท์ Hotline 1584 หรือ ขั้นตอนการจองห้องอบรมขอรับใบอนุญาตขับรถ

3. ทำการทดสอบร่างกาย

ประกอบไปด้วยทดสอบตาบอดสี ทดสอบสายตาทางลึก ทดสอบสายตาทางกว้าง และทดสอบการตอบสนองของเท้าผ่านเครื่องมือทดสอบ เพื่อทดสอบว่าเรามีคุณสมบัติพร้อมที่จะขับรถจริงๆ

4. อบรม 5 ชั่วโมง

การอบรมในแต่ละรอบนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคเช้า เริ่ม 9.30 - 12.00 น. และภาคบ่ายเริ่ม 13.00 - 15.30 น. โดยเจ้าหน้าที่จะให้ความรู้เรื่องป้ายจราจร สัญญาณจราจร และเปิดวิดีโอต่าง ๆ ทั้งภาพการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง คลิปการขับรถปลอดภัย เป็นต้น โดดไม่ได้นะครับ เพราะมีเจ้าหน้ามี่คอยมองเราจากกล้องวงจรปิดอยู่

5. สอบข้อเขียน

ใช้เวลา 1 ชั่วโมง และประกอบด้วยคำถาม 50 ข้อ โดยข้อสอบส่วนใหญ่ จะเกี่ยวกับเครื่องหมาย และสัญญาณจราจรต่างๆ คุณต้องตอบให้ถูกอย่างน้อย 45 ข้อ หรือ 90% ของข้อสอบ เพื่อที่จะผ่านการประเมิน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณสอบผ่าน คุณควรศึกษาคู่มือการขับขี่รถยนต์ที่กรมขนส่งฯ แจกให้ในวันที่คุณเข้ารับการอบรม ข้อไหนไม่มั่นใจ เราสามารถกดข้ามก่อนได้แล้วค่อยกลับมาทำทีหลัง ก่อนเริ่มทำข้อสอบ และหลังทำข้อสอบเสร็จ ที่หน้าจอของเราจะมีกล้องถ่ายรูปเราก่อนเพื่อยืนยันว่าเราเป็นผู้สอบจริงๆ เมื่อสอบเสร็จเครื่องจะพิมพ์ผลสรุปออกมาว่า เราผ่านหรือไม่ หากใครไม่ผ่าน ก็สามารถมาสอบใหม่ได้ในวันถัดไป

6. สอบปฏิบัติ

หลังจากสอบข้อเขียนผ่านแล้ว คุณต้องนัดหมายเพื่อสอบปฏิบัติล่วงหน้า โดยให้ไปสอบถามที่เค้าเตอร์ว่ามีว่างวันไหนบ้าง แล้วทำการจองคิววันที่ว่างไว้

ในการสอบคุณต้องทำการแสดงทักษะการขับรถผ่านท่าสอบ 3 ท่า โดยท่าแรก คือการขับรถท่าตรง มีระยะ 12 เมตร สอบโดยการขับรถเดินหน้าหนึ่งครึ่ง และถอยหลังหนึ่งครั้ง โดยไม่ให้เครื่องยนต์ดับ ท่าที่สอง คือการขับรถไปจอดเทียบไหล่ทาง ระยะห่างของรถยนต์จากไหล่ทางต้องไม่เกิน 25 ซม. และ ไม่เกยไหล่ทาง ส่วนทางสุดท้ายคือ ท่าที่ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่สอบตกมากที่สุด คือการถอยจอด ซึ่งคุณต้องถอยรถเข้าช่องจอดในระยะที่กำหนด โดนไม่ชนกรวยบอกระยะ และเปลี่ยนเกียร์ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง

7. ชำระค่าธรรมเนียมการทำบัตร

เมื่อคุณสอบผ่านแล้ว ขั้นต่อไปคือการและถ่ายรูปเพื่อทำการติดบัตร แล้วชำระค่าธรรมเนียมประมาณ 300 บาท จากนั้นคุณก็จะได้ใบขับขี่ไว้ในครองครองอย่างเป็นทางการ

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี้

ที่มา : www.easycompare.co.th

 1471
ผู้เข้าชม

gps

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์